ทุกคนต่างมีช่วงเวลาที่บางความรู้สึกถูกซ่อนไว้ในใจนานเกินไป จนไม่รู้ว่าควรจะพูดออกไปเมื่อไร
เพลง “จังหวะหนึ่งของเวลา”
เกิดขึ้นจากคำถามง่าย ๆ แต่เจ็บลึกในใจ—เราจะรู้คุณค่าของตัวเองได้อย่างไร ถ้าไม่เคยได้เห็นมันสะท้อนจากสายตาของใครสักคน บางครั้งรอยยิ้มเล็ก ๆ ของใครคนนั้นก็อาจกลายเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุด โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพูดใด ๆ
เนื้อเพลงพูดถึงความลังเล การซ่อนความจริงในใจ และการรอคอย “จังหวะ” ที่เหมาะสมในการเปิดเผย แม้ว่าในระหว่างนั้นเราจะยอมเป็นเพียงเพื่อนที่คอยอยู่ข้าง ๆ อย่างเงียบ ๆ ก็ตาม เสียงเปียโนและบีตที่อุ่นนุ่มค่อย ๆ สะสมอารมณ์ เหมือนลมหายใจที่กล้าแน่นขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะพาไปถึงท่อนที่หัวใจบอกตัวเองว่า “เก็บไว้อีกคงไม่ไหว”
เบื้องหลังเพลงนี้ จึงไม่ใช่เพียงเรื่องราวของรักข้างเดียวเท่านั้น แต่ยังเป็นการบันทึกช่วงเวลาที่เราต้องเผชิญหน้ากับความกลัว ความหวัง และความจริงในใจของตัวเอง เพลงนี้อยากบอกคนฟังทุกคนว่า บางครั้งชีวิตไม่ได้ต้องการคำตอบที่ยิ่งใหญ่ แค่เพียงหนึ่งจังหวะที่กล้าเปิดใจ ก็อาจเปลี่ยนทั้งเรื่องราวของเราไปตลอดกาล
บางครั้งฉันก็ไม่แน่ใจ
ว่าเธอจะมองเห็นอะไรในแววตาฉันบ้างไหม
เราจะรู้ว่าตัวเรามีค่าเพียงใด
เมื่อได้เห็นมันจากสายตาของใครอีกคน
ในจังหวะหนึ่งของเวลา
เมื่อกล้าจะก้าวพ้นความสับสนในหัวใจ
วันที่พร้อมเปิดความรู้สึกที่ซ่อนไว้
แม้หวั่นใจแต่เก็บไว้อีกคงไม่ไหว
มีคำที่ฉันซ่อนเอาไว้อยู่
(...ขอแค่เธอได้รู้...)
ทุกครั้งที่เธอส่งยิ้มให้
เธอจะพอเข้าใจข้างในใจฉันบ้างไหม
ถ้าเธออยากรู้ ว่าเธอมีค่าเพียงใด
ลองมองตาฉันด้วยความรู้สึกจากหัวใจ
ในจังหวะหนึ่งของเวลา
ถ้าจะกล้าเผชิญหน้าเปิดเผยความในใจ
เมื่อพร้อมจะบอกความรู้สึกที่ซ่อนไว้
ความจริงในใจเมื่อเก็บไว้อีกคงไม่ไหว
มีบางคำซ่อนไว้อยู่
(...อยากให้เธอได้รู้...)
แต่ก่อนจะถึงวันนั้น ขออยู่เคียงกัน
ในฐานะเพื่อนคนสำคัญ
เผื่อสักวันเธออาจเหลียวมามองกัน
ได้ยินเสียงเอ่ยผ่านสายตาเป็นถ้อยคำจากหัวใจ
เราไม่รู้ว่าตนเองมีค่าสักเพียงใด
จนกว่าจะได้เห็นจากสายตาใครสักคน
ในจังหวะหนึ่งของเวลา
ถ้าจะกล้าเผชิญหน้าเอ่ยความในใจ
เมื่อพร้อมจะเปิดความรู้สึกที่ซ่อนไว้
เมื่อหัวใจทนฝืนต่อไปคงไม่ไหว
ว่าฉันซ่อนบางคำไว้อยู่
(...อยากให้รู้...)
(ในวันหนึ่ง... ฉันอาจพูดมันออกไป)